โชคดี หรือ โชคร้าย
ผู้เข้าชมรวม
112
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
โชคดี หรือ โชคร้าย
ฉัตรธรรม ล้ำนำกิจ เป็นนักศึกษา ซึ่งมีผลการเรียนค่อนข้างดี บุคลิกของเขาที่เด่นชัด คือ มีรูปร่างสูง ใบหน้ามีสิวค่อนข้างมาก ช่างพูด ขี้เล่น ตั้งใจเรียน เขาได้มาเลือกลงวิชาเลือกเสรี วิชาภาวะผู้นำ ที่ผมเป็นเจ้าของวิชา ปกติ ผมจะออกข้อสอบเป็นแบบอัตนัยทั้งหมด เวลาในการสอบ คือ 3 ชั่วโมง ข้อสอบ เป็นไปในลักษณะ ให้ นศ. ตอบได้อย่างอิสระ แต่ต้องตอบ อยู่ในประเด็น มิใช่เขียนตอบในลักษณะน้ำท่วมทุ่ง ทุกครั้งเมื่อผมตรวจข้อสอบผมจะใช้หลัก ความยุติธรรมและหลักคุณธรรม เพื่อตัดความอคติและเลือกที่รักมักที่ชังลง ผมจะตรวจข้อสอบ โดยไม่ดูรายชื่อผู้เข้าสอบ แม้แต่รายเดียว ครั้งที่ผมตรวจข้อสอบของนักศึกษากลุ่มหนึ่ง ฉัตรธรรม คือบุคคล ที่ผมได้อ่านคำตอบของเขาแล้ว มีความรู้สึกชื่นชมในการตอบที่มีเหตุผล มีหลักการที่ดี..... เขากล้าแสดงออกในทางความเห็น โดยไม่ต้องท่องจำใดๆ จากคะแนนข้อสอบ ข้อละ 10 เขาสามารถให้ผมจรดปลายปากกา ให้คะแนนเต็ม 10 จาก 3 ใน 5 -ข้อ ที่เหลืออีก 2 ข้อ เขาได้คะแนน ข้อละ 9 สรุปคือ การสอบทั้งกลางภาค - ปลายภาคคะแนนของเขา ได้เกิน 80 คะแนน ผลคะแนนของเขาจึงเท่ากับ A
"ผมว่าข้อสอบที่อาจารย์ออก มันไม่จำเป็นต้องท่องจำเลย ในความเห็นของผม.. ผมว่าอาจารย์ออกข้อสอบแบบนี้ มันดีนะ ตั้งแต่ผมเรียนที่นี่มา ก็เห็นมีเพียงวิชาของอาจารย์ นี่แหละ ..ที่ทั้งตอนเรียนและตอนสอบ ที่ผมไม่มีความเครียดใดๆ เลย อีกทั้งผมก็ไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือให้มากนัก เพียงแต่ตอนเข้าเรียน ผมแค่ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอนก็พอเพียงแล้ว" ฉัตรธรรม พูดกับผม ต่อหน้าเพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียน
หลังจากที่ผมได้ประกาศผลคะแนนสอบ ช่วงกลางภาคให้ทุกคนได้รับรู้ เพื่อจะได้นำไปใช้ในการปรับปรุงตนเอง ในการตอบช่วงสอบปลายภาค ผมจะบอกกับ นศ. ทุกคนว่า...วิชาของผมไม่เน้นการท่องจำ... อยากให้ทุกคนได้ดูตัวอย่าง การตอบของ ฉัตรธรรม ที่ตอบโดยการแสดงความเห็นโดยอิสระ
ฉัตรธรรม มีน้องชาย ชื่อฉัตรทอง ทั้ง 2 คน เรียนในสาขาเดียวกัน แต่ต่างกันที่ชั้นเรียน 1 ชั้นปี บุคลิกภาพของพี่น้องคู่นี้ ต่างกันมากราวฟ้ากับเหว คนพี่เรียนเก่งมาก ขี้เล่น ส่วนคนน้อง หัวไม่ค่อยดี และเงียบขรึม ระดับผลการเรียนของฉัตรทอง จึงอยู่ในอาการร่อแร่ทุกเทอม เขาจึงต้องมาลงทะเบียนเรียนวิชาเลือกเสรี ที่ผมสอน หลังจากฉัตรธรรม สำเร็จการศึกษาไปแล้ว เขาได้ช่วยเหลือพ่อแม่ ทำไร่ทำนาที่บ้านเกิด และรอที่จะสมัครสอบเข้าทำงาน..
ขณะที่วันหนึ่ง ผมกำลังดำเนินรายการที่สถานีวิทยุของมหาวิทยาลัยฯ ฉัตรทองซึ่งเป็นน้องชายฉัตรธรรม ได้มาพบผมที่ห้องดำเนินรายการ
"อาจารย์ครับๆๆ ผมขออนุญาต เข้าพบอาจารย์หน่อยครับ” ฉัตรทองพูด
"เชิญ เข้ามาเลย นั่งตรงนั้นเลยนะ” ผมชี้ให้ฉัตรทอง ให้มานั่งตรงกันข้ามกับที่ผมนั่ง
"ผมมีธุระ ประเดี๋ยวเดียวเองครับ คือจะเอาการ์ดของพี่ชายผมมาให้อาจารย์ ไปร่วมงาน"
"การ์ดงานแต่งเหรอ เร็วนี่ พี่ชายเรา เพิ่งเรียนจบได้ไม่นานเอง จะแต่งงานแล้วเหรอ" ผมพูดกระเซ้ากับฉัตรทอง
"ยังหรอกครับ จารย์ .การ์ดงานบวช..อ่ะ ครับ ... พี่ชายผมฝากมาให้และฝากขอโทษด้วย ที่ไม่ได้มาเรียนเชิญ ด้วยตนเอง อาจารย์ต้องไปให้ได้นะครับ"
"โอเค .. ว่าแต่ บวชที่ไหนเหรอ"
"ที่บ้านครับ บวชแล้วจะจำพรรษาที่วัดนิคมพัฒนานิการาม ใกล้ๆ บ้าน ครับ"
"สงสัยจะบวชก่อนเบียด สิท่า พี่ชายเรา" ผมกระเซ้า
"คงงั้น แหละครับจารย์ แฟนเขา ก็เรียนรุ่นเดียวกัน ครับ"
ในงานวันบวชของฉัตรธรรม ผมกับอาจารย์สยมภู ที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาฯ ของฉัตรธรรม ทั้งเพื่อนร่วมรุ่นของฉัตรธรรม กว่า 20 คนได้มาร่วมงานของเขา ในงานบวชเป็นไปอย่างเรียบง่าย ประหยัด ในการบรรพชาครั้งนี้ ฉัตรธรรม ได้ปวารณาตนเองว่า จะขอบวชในร่มกาสาวพัตร์ เพียง 1 พรรษา เท่านั้น เพราะเขามีโครงการหมั้นกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน หลังจากการลาสิกขาแล้ว
วัดนิคมพัฒนานิการาม เป็นวัดที่ผมคุ้นเคยดี เพราะเป็นวัดที่อยู่ใกล้กับศูนย์พัฒนาชีวิตใหม่ ซึ่งผมเป็นที่ปรึกษาให้ บ่อยๆ ครั้ง ผมจะมาประสานงานและหยิบยืมอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ โต๊ะหมู่บูชา แจกัน เชิงเทียน กระถางธูป เสื่อ และอื่นๆ นานๆ เข้าผมจึงสนิทกับเจ้าอาวาสวัดแห่งนี้
ท่านพระครู ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัด มีอายุประมาณว่า คงน่าจะใกล้เคียงกับผม ดูท่านเป็นนักพัฒนาไม่น้อย การพูดการจา ท่าทางท่านดูสำรวมตน จนทำให้ผมนึกศรัทธา ...จริงๆ แล้ว ผมรู้จักท่านโดยบังเอิญ เมื่อมีงานประเพณี ต๋านก๋วยสลากที่วัดแห่งหนึ่ง ระหว่างการเข้าพรรษาที่วัดนิคมพัฒนานิการาม มีพระจำพรรษาเพียง 2 รูป คือ เจ้าอาวาสกับพระลูกวัด คือพระฉัตรธรรม
ก่อนงานกฐินสามัคคี จะมีพิธีทอดถวายที่วัด เจ้าอาวาส ได้โทรศัพท์มาหาผมเพื่อฝากประชา สัมพันธ์งาน ทั้งยังนำซองกฐินมาให้ผมช่วยแจกแฟนเพลง ผมได้ช่วยเหลือ ประชาสัมพันธ์ ทางสถานีวิทยุ ให้ตลอด จนก่อนถึงวันงานเพียงสามวัน
พลัน ผมต้องตกใจ เมื่อพระฉัตรธรรม ได้ โทรศัพท์มาหาผม
"อาจารย์ครับ ท่านเจ้าอาวาสไม่อยู่ที่วัดเสียแล้ว" พระฉัตรธรรมโทรศัพท์แจ้งให้ทราบ
"เกิดอะไรขึ้น เหรอ หลวงพี่" ผมย้อนถามไป
"ชาวบ้าน ได้รวมกลุ่มกันปิดล้อมเจ้าอาวาส และขับไล่ท่านให้พ้นจากวัด เพราะมีคนแอบเห็นว่ามีเด็กสาว เข้าไปในกุฎิของท่านเพียงสองต่อสอง ในยามวิกาล วันนี้ ท่านไปจำพรรษาที่วัดอื่นแล้ว ทางเจ้าคณะตำบล เลยแต่งตั้งให้อาตมา ทำหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาส ชั่วคราว และยังให้อาตมาเป็นแม่งานรับกฐินสามัคคีที่ จะนำมาทอดถวาย"
"อ้าว..เหรอ" ผมอุทาน
"อาตมา จำเป็นต้องพึ่งโยมอาจารย์ ให้มาเป็นที่ปรึกษาแล้วล่ะ"
"ครั้งนี้หลวงพี่ คงจะได้นำเอาวิชาที่เรียนมาใช้แล้วละ ท่าน"
"นั่นมันทฤษฎี ...ในทางปฎิบัติ อาตมา ยังไม่มีประสบการณ์มากนักนะ โยมอาจารย์ยังไงคงต้องช่วยอาตมา คิดและช่วยประสานงานให้อาตมาให้งานสำเร็จลุล่วงด้วย"
"ไม่ขัดข้องครับ บวชพรรษาเดียว ได้เป็นเจ้าอาวาสเลย ไม่เลวเลยนะท่าน " ผมพูดล้อเล่นกับพระฉัตรธรรม ท่านได้แต่อมยิ้มเขินๆ เมื่อผมกลับมาที่ทำงานแล้ว ได้ช่วยคิด ช่วยเตรียมงาน รวมทั้งการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ให้ ผมจะเข้ามาพื้นที่ของวัด เกือบทุกวัน ระยะทางจากที่บ้าน มาที่วัด มีระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร แต่ด้วยความคุ้นเคย กับการออกพื้นที่ชนบทแถวนี้ ผมจึงไม่รู้สึกว่าเส้นทางเส้นนี้ น่ากลัวหรือเปลี่ยวมากนัก
เมื่อถึงกำหนดวันทอดกฐิน วัดได้จัดประดับซุ้มประตูอย่างสวยงาม มีการกางเต็นท์ ไว้ 5 หลัง มีเต็นท์กองอำนวยการ เต็นท์โรงทาน เต็นท์สำหรับการทำบุญตักบาตรพระ108 รูป เต็นท์วางสัมภาระเครื่องกฐิน ฯ ผมวิ่งช่วยประสานงานในแต่ละจุด จนเข้าที่เข้าทาง จนประมาณ บ่ายสองโมงเศษ ศรัทธาจากวัดต่างๆ ได้เริ่มแห่ขบวนกฐินเข้ามาทอดถวายในพระอุโบสถ ผมทำหน้าที่เป็นโฆษกในงานที่เต็นท์อำนวยการ
"วัดจะอยู่คู่โลกเพราะพุทธบริษัทช่วย วัดจะสวยช่วยกันสร้าง อย่าห่างหนี
วัดจะทรุดเพราะชาวพุทธไม่สามัคคี มันจะดีหรือร้ายลองทายดู
วัดจะร้าง พากันสร้างอย่าร้างวัด คนเซซัด อย่าไปซ้ำกรรมของเขา
ช่วยกันอุดหนุน ค้ำจุนบุญของเรา เหมือนเด็กเยาว์ ช่วยจูงพยุงเดิน
วัดจะเจริญเพราะเงินชาวบ้านสร้าง บ้านถูกทางพูนสวัสดิ์ เพราะวัดสอน
บ้านกับวัดขัดกันตัดญาติคงขาดรอน ถ้าวัดหย่อน บ้านคงแยกแตกกัน"
"โยมอาจารย์ น้ำมันหล่อลื่น อยู่ในลังนะ อาตมาไม่ว่างมาดูแล ยังไงต้องขอโทษ ด้วย"
"อ๊ะๆ ในวัดพระเอาสุรามาให้โยมดื่ม เท่ากับเป็นบาปเชียวนะ หลวงพี่" ผมกระเซ้าหลวงพี่
"อาตมารู้คอรู้นิสัย ของโยมอาจารย์ดี เดี๋ยวน้ำมันหล่อลื่นทำงาน การพูดคงไหลลื่นเป็นต่อยหอย" พระฉัตรธรรมพูด พร้อมให้ชาวบ้าน นำสุราต้มเอง มาให้สามขวด พร้อมกับแกล้มหลายอย่าง
"ขอบคุณครับ หลวงพี่"
ผมอยู่ช่วยเป็นโฆษกงานวัด จนสามทุ่มเศษ จึงเดินทางกลับที่พักก่อน
...........................................................
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากกรรมการนับเงินทำบุญเสร็จสรรพแล้ว ทางพระฉัตรธรรมได้โทรศัพท์ มาหาผม
"สวัสดี โยมอาจารย์ งานกฐินของวัด ได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี อาตมาต้องขอขอบคุณ อย่างมากเลย ที่เป็นธุระในการวางแผน ประสานงาน ทั้งยังมาช่วยเป็นโฆษกให้กับทางวัดอีก"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ หลวงพี่"
"คาดไม่ถึงเลยว่า ญาติโยมจะมาร่วมทำบุญกันอย่างเนืองแน่น เป็นเพราะแฟนเพลงของโยมอาจารย์ ได้มีส่วนมาร่วมสมทบการทำบุญอีกไม่น้อยเลย ขอบุญกุศลที่โยมอาจารย์ทำความดีนี้ ขอจงให้ได้ประสบความสุข ความสำเร็จในหน้าที่การงาน"
"เป็นไปไม่ได้เลย หลวงพี่ ให้ผมทำงาน ผมขยันและทุ่มเทแค่ไหน ผมก็สู้คนที่เลียนายเก่งไม่ได้หรอก หลวงพี่ก็รู้"
"อาตมาเห็น อาตมาเข้าใจ งั้น...ขอให้โยมอาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วย"
"ครับ .. ยอดเงินทำบุญงานกฐินและอื่นๆ ได้เท่าไหร่ครับ ผมอยากทราบจริงๆ อย่าว่า ผมละลาบละล้วง นะหลวงพี่"
"อ้อ สี่แสนกว่า มากจริงๆ เจ้าอาวาสเคยเล่าให้ฟังว่า กฐินที่วัดที่ผ่านๆ มา ยอดเงินเต็มที่เพียงแสนเศษๆ เอง"
"ดีใจด้วยครับหลวงพี่ เพียงเป็นแค่รักษาการเจ้าอาวาส เงินทำบุญยังเกือบครึ่งล้านบาท นี่หากเป็นเจ้าอาวาสตัวจริง สงสัยยอดเงินคงได้เป็นล้านบาทแน่ๆ"
"เกินไปแล้วโยมอาจารย์ รบกวนเวลาโยมอาจารย์มามากแล้ว ยังไงก็ต้องขอบคุณอย่างมากๆ เลย " พระฉัตรธรรมตอบอย่างออกตัว
"ครับ ไม่เป็นไร มีอะไรให้ผมรับใช้ สามารถโทรติดต่อมาได้ครับ.."
หลังจากนั้นการสนทนา ระหว่างผมกับพระฉัตรธรรม จึงสิ้นสุดลง
///////////////
งานกฐินสามัคคี ผ่านไป.. จากการที่พระฉัตรธรรมได้ปวาราณาตน ว่าจะบวชเพียงหนึ่งพรรษา แต่...ได้เกิดอุปสรรคในการที่จะลาสิกขาบทแล้ว เนื่องจากที่วัดนิคมฯ มีพระเพียงสองรูป รูปหนึ่งเกิดปัญหา เพราะมีกลิ่นคาวฉาวใกล้ชิดสีกา จึงได้ไปจำพรรษาอีกวัด จึงเหลือเพียงพระฉัตรธรรม เพียงรูปเดียว และ..หากพระฉัตรธรรมลาสิกขาไปจริง วัดนี้คงร้างไปอย่างแน่นอน คณะกรรมการวัดและ ผู้นำท้องถิ่น จึงได้ขอร้องให้พระได้จำพรรษาไปอีกสักระยะหนึ่ง แผนการที่พระฉัตรธรรม จะสึกมาแล้วแต่งงานกับแฟน จึงจำเป็นต้องเลื่อนออกไปอีก
สีกา ซึ่งเป็นแฟนของพระฉัตรธรรม ได้มาที่วัดบ้าง... เป็นครั้งคราว ..และได้ให้กำลังใจ กับพระด้วยดี เธอเข้าใจกับสภาพแวดล้อมที่มันเกิดขึ้นว่า มันเป็นเหตุสุดวิสัย ที่พระยังสึกไม่ได้ ในเวลานี้ อย่างไร เธอคิดว่า จะอย่างไร เธอยังก็รอได้..เสมอ น้ำใจที่แสนดีและงดงาม...เช่นนี้ ช่างน่ายกย่องสรรเสริญยิ่ง ผมเคยเข้าไปที่วัดอีกครั้ง สองครั้ง เพื่อช่วยวางแผนการทำรั้ววัด เพราะกำแพงรั้วเดิม ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา
" ยังไงโยมอาจารย์ ต้องช่วยอาตมานะ นี่ก็เลยหนึ่งพรรษาแล้ว อาตมาก็จำต้องอยู่ในพรรษาที่วัด ต่อไป เพราะชาวบ้านขอร้องไว้"
"ผมเห็นด้วยกับชาวบ้าน ครับหลวงพี่ ขอหลวงพี่อยู่ช่วยจรรโลง สืบสานบวรพุทธศาสนาต่อไปอีกสักระยะเถอะครับ ตอนนี้ผมมองๆ ไป ท่านมีโอกาส เป็นเจ้าคณะตำบลแน่ๆ"
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา.. ผมมิได้ติดต่อกับพระฉัตรธรรมอีกเลย ...-ข่าวของท่านจะยังจำพรรษาอีก หรือไม่ มีครอบครัวไปแล้วหรือยัง มิอาจทราบได้ ...แต่หากสมติว่า ท่านยังยังอยู่ในเพศบรรพชิตและท่านเกิดซาบซึ้งในรสพระธรรม โดยปวารณาว่าจะไม่ลาสิกขาจากเพศบรรพชิต ขอถามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมา เป็นความโชคดี หรือโชคร้าย... ของผู้ใด ไม่ทราบ ผมต้องขนลุกซู่ เนื่องจากวันนี้ ผมได้ลองโทรศัพท์ตรวจสอบว่า หลวงพี่สึกแล้วหรือยัง ครั้งแรกที่ผมโทรไป คือช่วงเวลา 8.30 น ปรากฎว่าไม่มีเสียงตอบรับ ใดๆ จนเมื่อเวลา 9.20 น ผมจึงทราบผลแน่ชัด
"สวัสดีครับ ผมอาจารย์สุรินทร์ นั่นพระฉัตรธรรมใช่มั้ย”
"ใช่.. อาตมาเอง มีอะไรหรือเปล่า"
"เพียงผมอยากทราบว่า หลวงพี่สึกหรือยังเท่านั้น เองครับ กี่ปีแล้วครับ...ที่หลวงพี่บวช"
“10 พรรษาแล้ว โยม” พระฉัตรธรรม ตอบ
"โอ เวลาผ่านไปรวดเร็วมากเลยนะครับ ที่วัดมีพระจำพรรษากี่รูปครับ”
"มีอาตมาแค่..รูปเดียว.."
"แล้ว ฉัตรทอง น้องชายของหลวงพี่ ทำงานที่ไหนแล้ว"
"อ้อ อยู่เชียงใหม่"
ผมถามไถ่ท่านอีกครู่หนึ่ง ด้วยเพราะเกรงใจ จึงลองสอบถามเรื่องงานกฐินของวัดว่าจะได้จัดขึ้นแล้วหรือยัง หลวงพี่บอกว่า วันที่ 4 พ.ย. จะมีงานกฐินสามัคคีมาทอดถวาย ผมจึงแก้เก้อ ด้วยการรับอาสาว่าจะช่วย ประชาสัมพันธ์ งานบุญ พร้อมรับอาสาจะเป็นโฆษกให้อีกครั้ง....หนึ่ง
สาวคนนั้น, คงยังต้องรอการรับหมั้น...ของคนรักอีกต่อไป
ใครโชคดี .. ใครโชคร้าย ผมมิอาจทราบได้จริงๆ .......
๒๗ ก.ค. ๒๕๖๕
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น